IT CITY เปิดแผนธุรกิจปี 2568 ผ่านความร่วมมือระหว่างพันธมิตร ‘AIS’ เสริมแกร่งครอบคลุมทุกมิติสินค้า-บริการ-สิทธิประโยชน์ พร้อมมุ่งกลยุทธ์ ‘O2O’ เพิ่มประสบการณ์ช้อปแบบไร้รอยต่อเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่

คุณโสภณ อิงค์ธเนศ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกสินค้าไอทีแบบครบวงจร เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทฯ วางแนวทางการดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ความร่วมมือระหว่างพันธมิตรเพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาวร่วมกัน ล่าสุดบริษัทฯ ร่วมกับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส (AIS) ในฐานะเอ็กซ์คลูซีฟพาร์ทเนอร์ เพื่อส่งมอบประสบการณ์เหนือระดับ พร้อมสิทธิประโยชน์ให้กับกลุ่มลูกค้าไอที ซิตี้ และ AIS ในด้านต่างๆ ดังนี้

• ลูกค้าไอที ซิตี้สามารถเปิดเบอร์ AIS ใหม่ พร้อมรับสิทธิ์ส่วนลดพิเศษค่าเครื่อง ผ่านหน้าร้าน IT CITY ได้ทุกสาขาทั่วประเทศ

• ลูกค้าเก่ารายเดือนของ AIS สามารถใช้สิทธิ์ส่วนลดพิเศษค่าเครื่อง ผ่านหน้าร้าน IT CITY ทุกสาขาทั่วประเทศ ได้เช่นกัน

• ลูกค้า IT CITY ที่ใช้บริการ AIS ยังจะได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติม เช่น สิทธิ์ส่วนลดในการซื้อสินค้าอื่น ๆ ภายในร้าน การเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษ หรือสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมในอนาคต ฯลฯ

“ความร่วมมือระหว่างไอที ซิตี้ และ AIS เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นร่วมกันเพื่อยกระดับประสบการณ์และความพึงพอใจของลูกค้า โดย AIS ถือเป็นเครือข่ายมือถืออันดับหนึ่ง ที่มีความครอบคลุมและเสถียรภาพสูงสุดในประเทศไทย ซึ่งไอที ซิตี้ มองเห็นศักยภาพของการเป็นพันธมิตรกับ AIS ในฐานะเอ็กซ์คลูซีฟ พาร์ทเนอร์ ในครั้งนี้ จะเป็นการผสานความแข็งแกร่งของทั้งสององค์กร เพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า”

คุณโสภณ เผยอีกว่า “สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจบริษัทในปีนี้ ยังมองหาโอกาส และความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์รายอื่น ๆ ที่ร่วมสนับสนุนทั้งด้านผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคให้ได้รับประสบการณ์ด้านความพึงพอใจอย่างสูงสุดให้กับกลุ่มลูกค้าตลอดทั้งปี

นายประพัฒน์ เสียงจันทร์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านธุรกิจค้าปลีก AIS กล่าวว่า “เอไอเอส ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัล เรามีความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ผ่านการทำงานร่วมกับพันธมิตรที่หลากหลายเพื่อตอบสนองต่อความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าทุกกลุ่ม รวมถึงครั้งนี้เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ IT CITY ในฐานะผู้นำธุรกิจจำหน่ายสินค้าไอทีแบบครบวงจรของประเทศมาเป็นหนึ่งในพาร์ทเนอร์คนสำคัญ ที่จะช่วยขับเคลื่อนการทำงานเพื่อสามารถส่งมอบสินค้าและบริการดิจิทัลที่เข้าใจทุกดิจิทัลไลฟ์สไตล์พร้อมสิทธิพิเศษให้ดียิ่งขึ้น

ด้วยจุดแข็งของ IT CITY ที่มีสาขาครอบคลุมกว่า 300 สาขาทั่วประเทศ ทำให้การทำงานร่วมกันครั้งนี้จึงเป็นการตอกย้ำถึงความเป็นที่ 1 ตัวจริง ด้านช่องทางการจัดจำหน่ายและบริการลูกค้า ที่นอกเหนือจากการดูแลทั้งการใช้งานมือถือ และเน็ตบ้านเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าทุกกลุ่มแล้ว เรายังร่วมกับ IT CITY ตั้งจุดรับทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถนำขยะ e-Waste มาฝากทิ้ง นับเป็นการยกระดับความร่วมมือจากเอ็กซ์คลูซีฟพาร์ทเนอร์ด้านช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าและบริการ สู่พันธมิตรที่ขับเคลื่อนเป้าหมายด้านความยั่งยืนอีกด้วย”

ด้าน คุณเกษม ศรีเลิศชัยพานิช รองกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า “สำหรับกลยุทธ์หลักที่จะใช้สำหรับส่งเสริมการขายในปี 2025 เพื่อรองรับความต้องการผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ

1. การเปิดตัวประกันสมาร์ทโฟน Max Protection by IT CITY ซึ่งเป็นประกันความคุ้มครองทุกมิติ ที่ดีที่สุดในตลาด โดยลูกค้าสามารถเคลมผ่านหน้าร้านเครือ IT CITY ได้ทุกสาขาทั่วประเทศ ด้วยเป็นประกันความคุ้มครองสมาร์ทโฟนใน 5 มิติ ประกอบด้วย

• เปลี่ยนเครื่องทันที ใน 30 วัน

• ประกันหน้าจอแตก จอเบิร์น 2 ครั้ง ใน 2 ปี

• ประกันเครื่อง ซ่อมได้ใน 2 ปี ไม่จำกัดจำนวนครั้ง

• ประกันแบตเตอรี่ 1 ครั้ง ใน 2 ปี

• ดูแลซอฟต์แวร์ตลอดอายุการใช้งาน

2. การนำระบบสะสมคะแนนลูกค้า ภายใต้ชื่อ IT CITY Reward มอบความคุ้มค่าให้ลูกค้าได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด จากทุกการใช้จ่ายซื้อสินค้าทุกหมวด ทั้งสินค้าไอที สมาร์ทโฟน อุปกรณ์เสริมไอทีและสมาร์ทโฟน ภายในร้านเครือ IT CITY ทุกสาขา โดยทุกยอดใช้จ่าย 100 บาท ที่ จะได้รับ 1 คะแนน IT CITY Reward อีกทั้งคะแนนดังกล่าวสามารถใช้แลกรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ทั้งแลกรับส่วนลดในการซื้อสินค้าครั้งถัดไป หรือแลกของรางวัลพิเศษ ซึ่งจะมีแคมเปญออกมาตลอดทั้งปี

ปัจจุบัน ไอที ซิตี้ มีจำนวนสาขาในรูปแบบที่หลากหลายกว่า 300 สาขา แบ่งเป็น IT CITY, CSC, ACE นอกจากนี้ยังมีส่วนของ Brand shop ที่บริษัทได้รับสิทธิบริหารอีกหลายแห่ง และบริษัทมีการวางแผนพัฒนาช่องทางจำหน่ายในรูปแบบ O2O (Online-to-Offline) เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงการซื้อสินค้าและบริการของไอทีซิตี้ได้อย่างไร้รอยต่อมากที่สุดโดยในไตรมาส 2 ปีนี้ บริษัทเตรียมให้ลูกค้าสามารถจอง/ซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ www.itcity.in.th และสามารถรับสินค้าได้ที่หน้าร้านได้ทุกสาขาทั่วประเทศ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งช่องทางอีคอมเมิร์ซ ให้เติบโตเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนยอดขายราว 5% ของช่องทางออฟไลน์ เติบโตขึ้น 2% จากปี 2566 และได้พัฒนาระบบสมาร์ท เวาเชอร์ (Smart Voucher) พร้อมเพิ่มกลุ่มสินค้าที่ใช้งานร่วมกับ Smart Voucher มากขึ้น เพื่อให้ลูกค้ามีตัวเลือกในการแลกสินค้าเพิ่มมากขึ้น”

คุณโสภณ กล่าวต่อว่า “ในปีนี้ บริษัทฯ เตรียมลงทุนในการขยายสาขาใหม่อีกหลายแห่ง พร้อมวางแผนทบทวนปรับเปลี่ยนสาขาในบางทำเล เพื่อรักษาผลดำเนินการและกำไรในภาพรวม พร้อมวางแผนปรับปรุงสื่อหน้าร้านและรูปแบบการวางสินค้าหน้าร้านทั้งหมดให้ทันสมัยและดึงดูดลูกค้ามากขึ้นด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ในปี 2567 ที่ผ่านมา กลุ่มผลิตภัณฑ์เรือธงในการทำตลาดของ IT CITY ที่มีสัดส่วนยอดขายมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ 1.สินค้าอุปกรณ์สมาร์ทโฟนและแทบเลต (Smartphone/ Tablet) 58%, 2.สินค้าอุปกรณ์ไอที (IT Devices) 27% และ 3.สินค้าอุปกรณ์เสริมไอที (IT Accessory) 7%

โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีสัดส่วนกำไรมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ 1.สินค้าอุปกรณ์สมาร์ทโฟนและแทบเลต (Smartphone/ Tablet) 48%, 2.สินค้าอุปกรณ์ไอที (IT Devices) 20% และ 3. สินค้าอุปกรณ์เสริมสมาร์ทโฟนและแทบเลต (Smartphone/ Tablet Accessory) 16%

ปัจจุบัน IT CITY แบ่งกลุ่มสินค้า ออกเป็น 5 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย 1.สินค้าอุปกรณ์ไอที (IT Devices), 2.สินค้าอุปกรณ์สมาร์ทโฟนและแทบเลต (Smartphone/ Tablet), 3.สินค้าอุปกรณ์เสริมไอที (IT Accessory) 4.สินค้าอุปกรณ์เสริมสมาร์ทโฟนและแทบเลต (Smartphone/ Tablet Accessory) และ 5.ซิมการ์ด และการเปิดเบอร์

สำหรับภาพรวมตลาดสินค้า/อุปกรณ์ไอทีประเทศไทยในปี 2568 คาดยังมีแนวโน้มขยายตัว จากปัจจัยหลักการ
เข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จะเข้ามาอยู่ในรูปแบบฟีเจอร์ต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ที่อยู่ใกล้ชิดผู้บริโภค และได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็ว มีส่วนผลักดันให้ตลาดสมาร์ทโฟนขยายตัวต่อเนื่องจากในปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปีที่เทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทต่อการทำการตลาดของแบรนด์ผู้ผลิตชั้นนำต่างๆ ภาพรวมตลาดของสินค้าสมาร์ทโฟน จากเดือนมกราคม – พฤศจิกายน ชี้ให้เห็นว่าในเชิงของมูลค่ามีการเติบโต 3.1% และ Unit เติบโตขึ้น 5.6% ซึ่งคาดการณ์ว่าการเติบโตในปี 2568 ยังเป็นทิศทางเชิงบวก ภาพรวมของตลาดไอที ในช่วงเวลาเดียวกัน ในเชิงของมูลค่ามีการเติบโตติดลบ -7.7% และ Unit เติบโตติดลบขึ้น -4% ยังเป็นเทรนที่ติดลบ แต่ก็เรียกได้ว่าโตกลับขึ้นมาจากปี 2566 ที่ตลาดติดลบ Double Digit ซึ่งคาดการณ์ว่าการเติบโตในปี 2568 ยังสามารถเติบโตกลับมาในระดับที่เทียบเท่ากับปี 2566 เป็นอย่างน้อย ขณะที่ตลาดคอมพิวเตอร์ในไทยคาดว่าจะมีความต้องการขยายตัวสูงขึ้น หลังจากผู้ผลิตชิปชั้นนำได้เปิดตัวเทคโนโลยี AI อาทิ Intel Core Ultra, Ryzen Ai และ Nvidia RTX 5000 Series เพื่อส่งเสริมประสบการณ์การใช้คอมพิวเตอร์ในภารกิจต่างๆ ได้ชาญฉลาดและรวดเร็วขึ้น ซึ่งผู้ผลิตคอมพิวเตอร์แบรนด์ชั้นนำต่างนำเทคโนโลยีจากผู้ผลิตชิปเหล่านี้มาพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นทางเลือกที่หลากหลายให้กับผู้บริโภค

“จากทิศทางและกลยุทธ์ของบริษัทฯในปีนี้ ยังเน้นเพื่อรองรับแนวโน้มดังกล่าวที่เกิดขึ้นพร้อมตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มองหาร้านค้าที่สามารถนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มีความหลากหลายและให้ความคุ้มค่า พร้อมบริการหลังการขายที่ดูแลลูกค้าเป็นอย่างดี รวมถึงการขยายโอกาสใหม่ทางธุรกิจเพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้หลากหลายในเชิงลึก ซึ่งเป็นปัจจัยหลักผลักดันให้ธุรกิจของบริษัท เติบโตต่อเนื่องอย่างยั่งยืน” คุณโสภณ กล่าวทิ้งท้าย