พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประธานคณะกรรรมการกองทุนยุติธรรม ในฐานะสภานายกพิเศษแห่งสภาทนายความ กล่าวว่า จากพันธกิจของสำนักงานกองทุนยุติธรรมที่มีบทบาทสำคัญในการให้ความช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดี ตามพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. 2558 เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดี อาทิ การขอค่าจ้างทนายความ ค่าที่ปรึกษาหรือผู้ช่วยทางกฎหมายในการดำเนินคดีหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าตรวจพิสูจน์ค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียมเอกสาร เป็นต้น โดยให้ความสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของประชาชนให้สะดวก ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด โดยมีบุคลากร (ทนายอาสา) ที่ทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย จากสภาทนายความ ตามบทบาทหน้าที่ภายใต้พระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 เป็นผู้อำนวยความสะดวกและให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่กำลังประสบปัญหาความเดือดร้อน ไม่ได้รับความเป็นธรรม ให้สามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว

และเพื่อให้การทำงานช่วยเหลือประชาชนให้สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างทั่วถึงและมีมาตรฐานเดียวกัน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการพัฒนาระบบงาน ระเบียบหรือหลักเกณฑ์แนวทางต่างๆ ให้ทันสมัย พร้อมทั้งพัฒนาระบบทนายความของกองทุนยุติธรรม ให้สามารถขับเคลื่อนได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ กองทุนยุติธรรม สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม จึงได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เรื่อง “การอำนวยความยุติธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างสังคมเท่าเทียม”

โดยกำหนดแนวทางการพัฒนาระบบทนายความของกองทุนยุติธรรม ใน 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) การบูรณาการความร่วมมือด้านการให้ความช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดี 2) การกำหนดบัญชีทนายความของกองทุนยุติธรรม 3) การบูรณาการความเชื่อมโยงข้อมูลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ 4) การจัดอบรมพัฒนาศักยภาพการให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ทนายความ และ 5) การบูรณาการด้านการประชาสัมพันธ์เชิงรุก

ด้านนางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของ MOU ฉบับนี้ คือ การบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำแก่ประชาชนให้สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมได้โดยง่าย สะดวก รวดเร็ว เสมอภาค และเป็นธรรม ซึ่งการร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการนำจุดแข็งของทั้งสองฝ่ายมาบูรณาการเพื่อให้เป็นกลไกในการประสานความร่วมมือ มีการกำหนดหลักการและแนวทางการพัฒนาในทุกๆ มิติ โดยคาดหวังว่าจะสามารถขับเคลื่อนงานให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายและอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยกระดับการดำเนินงานให้เอื้อต่อการดูแลประชาชนในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะการจัดส่งทนายความอาสาเข้าไปนั่งให้คำปรึกษา ณ ศูนย์ยุติธรรมชุมชน เพื่ออำนวยความสะดวกและเข้าถึงความยุติธรรมได้อย่างทั่วถึง ตลอดจนการให้ความรู้และคำแนะนำเกี่ยวกับการคุ้มครองป้องกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างสังคมที่มีความเป็นธรรมสำหรับประชาชนอย่างเท่าเทียมมากยิ่งขึ้น

“จุดแข็งของเรา คือ การที่กระทรวงยุติธรรมมีบุคลากรที่มีความหลากหลายทางอาชีพ ทำให้เข้าใจบริบทที่เป็นอยู่ในสังคม รู้ว่าประชาชนต้องการอะไร กฎหมายแบบไหนที่ทำให้เกิดขึ้นได้ในความเป็นจริง จึงต้องปรับกรอบความคิดในกระบวนการยุติธรรมให้เป็นการพัฒนา มุ่งเน้นที่การลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนเป็นหลัก พร้อมสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เพื่อเชื่อมโยงบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมมีความเข้มแข็ง และสามารถกำหนดทิศทางของกระบวนการยุติธรรมของประเทศได้อย่างถูกต้องต่อไปได้” ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าว

สำหรับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน สามารถเข้ามาติดต่อขอความช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรมได้ที่ ศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม (ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข), สำนักงานยุติธรรมจังหวัดทั่วประเทศ, ศูนย์ยุติธรรมชุมชนทุกชุมชน หรือติดต่อสายด่วนกระทรวงยุติธรรม โทร. 1111 กด 77, ติดต่อผ่านเว็บไซต์ http://www.jfo.moj.go.th/, Facebook: กองทุนยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม หรือติดต่อผ่านแอปพลิเคชั่น: “Justice Care” และ “ทางรัฐ” สามารถดาวน์โหลดเพื่อใช้งานได้ทั้งระบบ Android และระบบ IOS