บมจ. สิงห์ เอสเตท (S) บริษัทผู้พัฒนาและลงทุนอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ประกาศว่า บริษัทฯ กำลังเดินหน้าแผนเชิงกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ เพื่อเติมเต็มและเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ โดยเตรียมรุกเข้าสู่ธุรกิจพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า ธุรกิจให้บริการด้านวิศวกรรม และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ
นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ บมจ. สิงห์ เอสเตท เปิดเผยว่า “ปีนี้เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่เรากำลังเข้าสู่เฟสต่อไปของการพัฒนาธุรกิจของสิงห์ เอสเตท โดยเราจะเดินหน้าเข้าสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและธุรกิจสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่จะมาต่อยอดและเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อนำสิงห์ เอสเตท ก้าวไปสู่การเป็นหนึ่งในธุรกิจแถวหน้าของประเทศไทยที่ผนึกกำลังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า และธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่อง สร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด และสร้างผลตอบแทนที่ดี”
“ในช่วงที่ผ่านมา เราให้ความสำคัญกับการนำบริษัท เดินทางจากจุดเริ่มต้นในฐานะบริษัทของครอบครัว ที่บริหารจัดการสินทรัพย์และดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของตระกูล มาสู่การเป็นบริษัทมหาชน ที่มีการบริหารงานอย่างมืออาชีพ มีสินทรัพย์อยู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลาย กระจายอยู่ในหลายภูมิภาค สำหรับตอนนี้ เมื่อเรามองไปที่เส้นทางข้างหน้า เราเชื่อมั่นในอนาคตของประเทศไทย ซึ่งเป็นฐานที่มั่นทางธุรกิจของสิงห์ เอสเตท ในขณะเดียวกัน เรายังเดินหน้ามองหาโอกาสที่จะสร้างการเติบโตใหม่ๆ ในระดับโลก ไปพร้อมกันด้วย”
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวว่า สิงห์ เอสเตท ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ขึ้น 3 เท่าตัว ให้กลายเป็นประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปี ภายในระยะเวลาสามปี พร้อมกับสร้างธุรกิจให้มีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้น จาก 65,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 ไปเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าสินทรัพย์ 80,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2566 และในขณะเดียวกัน ก็ตั้งเป้าเพิ่มอัตราผลกำไรในการทำธุรกิจด้วย
“การพัฒนาโครงการขนาดยักษ์หลากหลายโครงการในประเทศไทย และการเดินหน้าบูรณาการธุรกิจต่างๆ ของสิงห์ เอสเตท ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยผนึกกำลังธุรกิจโรงแรม ธุรกิจที่พักอาศัย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม เข้ากับธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า และธุรกิจให้บริการด้านนวัตกรรมที่เกี่ยวเนื่องต่างๆ จะสร้างความได้เปรียบเชิงธุรกิจให้กับสิงห์ เอสเตท ได้อย่างมหาศาล และเพิ่มความสามารถในการคว้าโอกาสทางธุรกิจใหญ่ๆ ที่กำลังจะมีเข้ามา” นางฐิติมากล่าว
นางฐิติมา กล่าวต่อไปว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งยืนยันการตัดสินใจที่ถูกต้องของบริษัทฯ ในการวางโครงสร้างธุรกิจเป็น 4 กลุ่มธุรกิจที่เชื่อมโยงกัน “เพื่อจะทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี ได้อย่างสม่ำเสมอ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยากจะคาดเดา ทั้งในประเทศและทั่วโลก”
ในปี 2563 ที่ผ่านมา 3 กลุ่มธุรกิจของสิงห์ เอสเตท คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ธุรกิจโครงการที่พักอาศัย และธุรกิจรีสอร์ตและโรงแรม ทำรายได้คิดเป็นสัดส่วน 96% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทฯ
“เราหวังว่าจากนี้เป็นต้นไป กลุ่มธุรกิจที่ 4 จะเป็นธุรกิจใหม่ที่เข้ามาเติมเต็มและต่อยอดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นแกนหลักมาแต่เดิม และจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ได้อย่างมากมาย” นางฐิติมากล่าว
“ด้วยแนวทางการเดินหน้า 4 กลุ่มธุรกิจของสิงห์ เอสเตท จะทำให้เรามีจุดโดดเด่นที่แตกต่าง และทำให้เราเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ได้มากกว่า นอกจากนี้ ยังจะช่วยให้เรามีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น จากการเติมเต็มซึ่งกันและกันของกลุ่มธุรกิจต่างๆ การใช้ทรัพยากรร่วมกัน และการบูรณาการธุรกิจ พร้อมกันนี้ ก็จะช่วยให้เรามีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น จากการที่ธุรกิจในเครือมีวงจรทางธุรกิจที่แตกต่างกัน มีรูปแบบความเสี่ยงไม่เหมือนกัน และเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้ประจำและสม่ำเสมอ”
“ด้วยความแข็งแกร่งทางการเงินของเราจากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของเราที่ต่ำ อยู่ที่ 0.96 เท่า ประกอบกับการมีเครดิตดี สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อีก 25,000 ล้านบาท ทำให้เวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่เราจะเดินหน้ากลุ่มธุรกิจที่ 4 ของเรา” นางฐิติมากล่าว
นางฐิติมา ยังเปิดเผยด้วยว่า สิงห์ เอสเตท กำลังศึกษาแนวคิดและวิธีใหม่ๆ ระดับโลก นำมาใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มศักยภาพของธุรกิจให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้เป็นอย่างดีในทุกสถานการณ์ (Resilient Business)
ทั้งนี้ สิงห์ เอสเตท มีเป้าหมายที่จะแสวงหาความร่วมมือทั้งภายในประเทศและระดับโลก เพื่อสร้างความเชี่ยวชาญที่มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการเสริมความแข็งแกร่งความสามารถในการแข่งขัน และช่วยขยายฐานธุรกิจในต่างประเทศให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ของสิงห์ เอสเตท ซึ่งประกอบด้วยพื้นที่อาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกรวม 140,000 ตารางเมตร สร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ประมาณ 15% ของรายได้ทั้งหมดในปี 2563 นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังมีโรงแรมและรีสอร์ต 39 แห่ง ใน 5 ประเทศ ซึ่งมีห้องพักรวมกัน 4,647 ห้อง สร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ประมาณ 24% ของรายได้ทั้งหมด และมีโครงการที่พักอาศัย 23 โครงการ ประกอบด้วยที่อยู่อาศัยแนวราบ และคอนโดมิเนียม เช่น แบรนด์สันติบุรี The ESSE และแบรนด์อื่นๆ ซึ่งสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ประมาณ 57% ของรายได้ทั้งหมด
Recent Comments