ฟาร์มเพาะปลูกแนวตั้งในร่ม “บุสตานิกา (Bustanica)” ได้เปิดตัวฟาร์มไฮโดรโปนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยเงินลงทุน 40 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยโรงงานแห่งนี้ถือเป็นฟาร์มแนวตั้งแห่งแรกของบริษัท เอมิเรตส์ ครอป วัน (Emirates Crop One) ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง Emirates Flight Catering (EKFC) ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจจัดเตรียมอาหารบนเที่ยวบินที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ให้บริการสายการบินมากกว่า 100 สายการบิน และ Crop One ผู้นำอุตสาหกรรมด้านการทำฟาร์มแนวตั้งในร่มที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี เพื่อร่วมสร้างฟาร์มเพาะปลูกในร่มที่ใหญ่ที่สุดแห่งแรกของโลก

พื้นที่ขนาด 330,000 ตารางฟุต ตั้งอยู่ใกล้สนามบินนานาชาติอัล มักตุม ที่ Dubai World Central โดยมีเป้าหมายเพื่อผลิตผักใบเขียวคุณภาพสูงมากกว่า 1,000,000 กิโลกรัมต่อปี รวมถึงยังใช้น้ำน้อยกว่าที่จำเป็นสำหรับการปลูกพืชสีเขียวในการเพาะปลูกฟาร์มแบบทั่วไปถึง 95% และโรงงานสามารถเพาะปลูกได้มากกว่า หนึ่งล้านพันธุ์ (พืช) ซึ่งจะให้ผลผลิตกว่า 3,000 กิโลกรัมต่อวัน

นอกจากนี้ บุสตานิกา ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่ทรงพลัง เช่น แมชชีนเลิอร์นนิง ปัญญาประดิษฐ์ และวิธีการขั้นสูง ร่วมกับทีมงานภายในที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านพืชไร่ วิศวกร ชาวสวน และนักวิทยาศาสตร์ด้านพืช วงจรการผลิตที่ต่อเนื่อง ทำให้มั่นใจได้ว่าผลผลิตจะสด สะอาด และปลูกได้โดยไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง สารกำจัดวัชพืช หรือสารเคมี

ผู้โดยสารของสายการบินเอมิเรตส์และสายการบินอื่น ๆ จะได้ลิ้มลองผักใบเขียวแสนอร่อยเหล่านี้ เช่น ผักกาดหอม ผักร็อกเก็ต ผักสลัดรวม และผักโขม บนเที่ยวบินของเอมิเรตส์ได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป ทั้งนี้ บุสตานิกา ไม่ได้เป็นเพียงต้นแบบการปฏิวัติอาหารจานสลัดบนท้องฟ้า แต่ผู้บริโภคในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะสามารถเลือกซื้อผักใบเขียวที่สดใหม่เหล่านี้ลงในตะกร้าสินค้าที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้าน ยิ่งไปกว่านั้น บุสตานิกา ยังวางแผนที่จะขยายไปสู่การผลิตและจำหน่ายผักและผลไม้ในอนาคตอีกด้วย

ท่านเชค อาห์เมด บิน ซาอีด อัล มัคตูม ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท สายการบินเอมิเรตส์ กล่าวว่า “ความมั่นคงด้านอาหารในระยะยาวและความพอเพียงเป็นสิ่งสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของทุกประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่มีความท้าทาย ด้วยข้อจำกัดเกี่ยวกับที่ดินและสภาพอากาศที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ดังนั้น บุสตานิกา จะนำพาเราสู่ยุคใหม่แห่งนวัตกรรมและการลงทุน ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืน และสอดคล้องกับกลยุทธ์ความมั่นคงด้านอาหารและน้ำของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์”

“Emirates Flight Catering ได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องในการนำนวัตกรรมจากเทคโนโลยีล่าสุดเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม บุสตานิกา ช่วยรักษาความปลอดภัยในห่วงโซ่อุปทาน และทำให้มั่นใจว่าลูกค้าของเราจะได้เพลิดเพลินกับผลผลิตในท้องถิ่นที่มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ การผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศทำให้เราลดการขนส่งอาหารลงได้ ซึ่งต้องขอแสดงความยินดีกับทีม บุสตานิกา ที่แสดงถึงความมุ่งมั่นและประสบความสำเร็จในการสร้างมาตรฐานระดับโลกสำหรับการเพาะปลูกพืชในร่ม” ท่านเชค อาห์เมด บิน ซาอีด อัล มัคตูม กล่าวเสริม

เคร็ก ราทาจิค ประธานเค้าหน้าที่บริหาร บริษัท ครอป วัน กล่าวว่า “หลังจากการวางแผน การก่อสร้าง และการเผชิญความท้าทายที่ไม่คาดฝันของการระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19 เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะเฉลิมฉลองความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่นี้กับ Emirates Flight Catering พันธมิตรร่วมทุนของเรา โดยภารกิจของเราคือการปลูกฝังอนาคตที่ยั่งยืนเพื่อตอบสนองความต้องการทั่วโลกสำหรับอาหารท้องถิ่นที่สดใหม่ ซึ่งฟาร์มขนาดใหญ่แห่งแรกนี้เป็นการแสดงความมุ่งมั่นดังกล่าว และโรงงานแห่งใหม่นี้ยังทำหน้าที่เป็นต้นแบบสำหรับความก้าวหน้าอื่น ๆ ทั่วโลก”

ระบบวงปิดของฟาร์มออกแบบมาเพื่อหมุนเวียนน้ำผ่านพืชเพื่อใช้น้ำในประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อไอน้ำระเหย จะถูกนำกลับคืนมาและนำกลับเข้าสู่ระบบมาใช้ใหม่ ซึ่งสามารถช่วยประหยัดน้ำได้ถึง 250 ล้านลิตรต่อปี เมื่อเทียบกับการทำฟาร์มกลางแจ้งแบบดั้งเดิมเพื่อให้ได้ผลผลิตเท่าเดิม

บุสตานิกา จะไม่มีผลกระทบต่อทรัพยากรดินที่ถูกคุกคามของโลก แต่จะเป็นการช่วยลดการพึ่งพาการใช้น้ำและการเก็บเกี่ยวตลอดทั้งปี โดยไม่กระทบต่อสภาพอากาศและแมลงศัตรูพืชจากภายนอก นอกจากนี้ ผู้บริโภคที่ซื้อผักใบเขียวของ บุสตานิกา จากซูเปอร์มาร์เก็ตสามารถรับประทานได้โดยตรงจากถุง เพราะการล้างผักอาจทำให้ใบเสียหายและทำให้เกิดสารปนเปื้อนได้

หมายเหตุ: เอกสารข้อมูลและรูปภาพสามารถดูได้ที่ศูนย์สื่อของเรา